ดร.ธนวันต์ สินธุนาวา
มูลนิธิใบไม้เขียว
พืชและสัตว์หลากหลายชนิด มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและเอื้อต่อการดำรงชีวิต สิ่งมีชีวิตบางชนิดสามารถสร้างอาหารเองได้จากวัตถุดิบที่มีอยู่ทั่วไป ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และแสงแดด สิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้ ได้แก่ พืชสีเขียว และแบคทีเรียบางชนิด สิ่งมีชีวิตอีกกลุ่มหนึ่งไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ จำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกเป็นแหล่งอาหารในการดำรงชีวิต ได้แก่ สัตว์ทุกชนิด และแบคทีเรียบางชนิด
การสร้างอาหารของพืชเกิดขึ้นในกระบวนการสังเคราะห์แสง สารประกอบคลอโรฟิลล์สีเขียวและสีอื่น ๆ จะทำหน้าที่สำคัญนี้ที่ใบ ลำต้น และส่วนอื่น ๆ ของพืช โดยการดึงน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาทำปฏิกิริยาร่วมกัน เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ได้สารประกอบใหม่เป็นแป้ง ซึ่งต่อมาแป้งเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาล และถูกใช้ไปในการหายใจของพืช แป้งที่เหลือใช้จากกระบวนการหายใจของพืชจะถูกสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ เช่น ใบ ดอก ผล และการสะสมอาหารของพืชในลักษณะต่าง ๆ กัน ทั้งในรูปของเนื้อไม้ ผล เมล็ด และการเพิ่มการเจริญเติบโตของส่วนต่าง ๆ ของพืชนี้เอง ได้เปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้นำไปใช้เป็นอาหารในการดำรงชีวิต
การสังเคราะห์แสงในพืชทุกชนิดมีลักษณะเหมือนกัน คือ ได้สารประกอบพื้นฐานเหมือนกัน แต่การแปรสภาพผลผลิตเบื้องต้นจากการสังเคราะห์แสงงของพืชจนได้สารประกอบหลากหลายชนิดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันได้นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ โดยการควบคุมลักษณะพันธุกรรมของพืชแต่ละชนิด พืชยืนต้นจะนำอาหารที่ได้จากการสังเคราะห์แสงไปใช้หายใจ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเสริมความแข็งแกร่งของลำต้น โดยมีส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้ในการขยายพันธุ์ด้วยการสร้างดอกและเมล็ด ส่วนพืชจะสะสมอาหารส่วนที่เหลือไว้ที่ใบ ผล หรือเมล็ด การปรุงแต่งสารประกอบพื้นฐานที่ได้จากการสังเคราะห์แสงเป็นสารประกอบอื่นที่มีความหวาน เป็นไขมัน เป็นเส้นใย มีลักษณะเป็นเครื่องเทศ และเป็นยาชนิดต่าง ๆ พืชจำเป็นต้องใช้ธาตุอาหารหลากหลายชนิด โดยมีโครงสร้างของพันธุกรรมทำหน้าที่ควบคุมสูตร และวิธีปรุงแต่งอาหารที่ได้จากการสังเคราะห์แสง เป็นสารประกอบชนิดต่าง ๆ กัน ดังนั้น ธาตุอาหารจึงเป็นปัจจัยหนึ่งของการเจริญเติบโตของพืช
พื้นที่ที่มีปริมาณธาตุอาหารชนิดต่าง ๆ และมีความชื้นแตกต่างกัน จะเอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืชแต่ละชนิดได้ไม่เท่ากัน ดังนั้น ความชื้น ชนิด และปริมาณธาตุอาหารจึงเป็นปัจจัยกำหนดชนิดของพืชที่สามารถจะเจริญเติบโตได้ หากพื้นที่มีความชื้นและปริมาณธาตุอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืชอาหาร พื้นที่นั้นจะมีอาหารสมบูรณ์เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐาน โดยทั่วไปได้แก่พืชลุ่มแม่น้ำ ซึ่งมีที่ดินเกิดจากการพัดพา และสะสมธาตุอาหารด้วยการไหลบ่าของน้ำติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้ดินบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก ขณะที่น้ำในลำน้ำของลุ่มแม่น้ำ จะให้ความชื้นมากพอแก่พืชที่ต้องการความชื้นสูง สำหรับพืชที่ต้องการความชื้นน้อยจะเติบโตได้บริเวณที่อยู่ห่างจากลำน้ำออกไป ส่วนพื้นที่ที่มีความลาดชันบนภูเขาและเนินเขา จะมีปริมาณธาตุอาหารที่แตกต่างกัน และเอื้อต่อการเติบโตของพืช ที่สามารถหยั่งรากจากผิวดินลงไปได้มากเพื่อหาความชื้นและยึดเหนี่ยวดินให้สามารถยืนต้นสูงใหญ่อยู่ได้ แต่ทั้งพืชอาหารและพืชยืนต้นที่เติบโตบนพื้นที่ลุ่มน้ำ บนความลาดชันของเนินเขาและภูเขา ต่างผลิตอาหารจากกระบวนการสังเคราะห์แสงเหมือนกัน เพียงแต่อาหารของพืชเหล่านี้ผลิตหรือสร้างขึ้นมาได้จะถูกนำมาปรุงแต่งเป็นอาหาร เส้นใย หรือเนื้อไม้ของพืช เพื่อใช้ในการบริโภคของมนุษย์และสัตว์ การปรุงแต่งผลผลิตจากการสังเคราะห์แสงและได้อาหาร จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาในระบบนิเวศ โดยสัตว์ที่กินพืชจะกินพืชเหล่านี้เป็นอาหาร จากนั้นสัตว์เหล่านี้ก็อาจจะเป็นอาหารของสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร และสัตว์ที่กินเนื้อและพืชเป็นอาหาร ก็จะเป็นอาหารของมนุษย์อีกต่อหนึ่ง
การถ่ายเทในห่วงโซ่อาหารนอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาซึ่งกันและกันในระบบนิเวศแล้ว การผลิตอาหารจากการสังเคราะห์แสงยังเป็นจุดเริ่มต้นของการดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์ เพื่อการใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตของสังคมมนุษย์ ซึ่งการดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์ เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตของสังคมมนุษย์ การดูดซับพลังงานของพืชในลักษณะนี้ จะเปิดโอกาสให้มีการเก็บสะสม ปรับแต่ง และนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวางมากกว่าการดูดซับพลังงานแสงแดดในลักษณะของความร้อน เช่น การร้อนขึ้นของวัสดุชนิดต่าง ๆ ที่ได้รับแสงแดดติดต่อกันหลายชั่วโมง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การสังเคราะห์แสงของพืชเป็นการผลิตและถ่ายเทอาหารที่สำคัญของระบบนิเวศ
อ้างอิงรูปภาพจาก : www.freepik.com